วันนี้กลับจากอบรมด้วยความรู้สึกขำๆ ตัวเองว่า
ปัญหาเรื่องความกลัว วิตกกังวล เนี่ย ตอนที่เรื่องราวยังไม่คลี่คลาย
แม่ก็กังวลเป็นหนักหนา แต่พอคลี่คลายไปแล้ว ก็ลืมไปเลยว่า เคยมี
อย่างเรื่องกลัวคนแปลกหน้า ที่เป็นญาติกัน ที่คุณหมอทัก ตอนแรกก็นึกไม่ออก
ว่า ฉันเคยมีปัญหาเรื่องนี้ด้วยหรือ เพราะทุกวันนี้ ลูกดิฉันไปเยี่ยมญาติ ก็เฮฮาปาร์ตี้มาก
พอนึกออก ก็เล่าดูสะเปะสะปะ ขอลองสรุปใหม่อีกครั้งนะคะ
ปัญหาเรื่องกลัวคนแปลกหน้า ถ้าเป็นคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือมีความสำคัญกับครอบครัวเรามาก
การรับมือคงไม่ยากเท่าไร จะสะท้อนอารมณ์ ค้นสาเหตุ กัน ณ ตรงนั้น ว่า ลูกกลัวอะไร ไม่ชอบอะไร
หรือลูกออกอาการอยากให้แม่ไปจัดการไล่ หรือลูกเราโวยวายอยากไล่ ถึงจะดูไม่สุภาพ ไม่น่ารักอย่างไร
เราก็คงมองพอจะมองข้าม และทำงานอารมณ์ได้ ด้วยส่วนหนึ่งก็คิดว่า เดี๋ยวเขาคนนั้นก็ผ่านไปแล้ว
แต่ถ้าเป็นคนที่เกี่ยวข้องกันเป็นครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวใหญ่ ปัญหานี้จะดูใหญ่ขึ้นมามากทีเดียว
เพราะการที่เราจะสะท้อนอารมณ์ลูก ณ ขณะนั้น ว่า โอ๋ ไม่ชอบเลยเนอะ ที่คุณ......มาหอมหนูแรงๆแบบนี้
มาเล่นกับหนูแบบนี้ ทำเสียงแบบนี้ ไม่ชอบ ไม่อยากให้มาใกล้เลยเนอะ ก็อาจจะทำให้วงแตก เสียสัมพันธไมตรีอันดีได้
เมื่อต้องปลอบลูกต่อหน้าญาติ ก็เลี่ยงคำพูดที่อาจจะทำให้กระทบจิตใจกันเช่น คำว่า ไม่ชอบ
อาจจะเป็นว่า อ๋อ หนูตกใจหรือลูก ที่คุณ......เล่นกับหนู แบบนี้ เสียงอย่างนี้ หนูกลัวหรือลูก
คุณ...หอมแรงไปนิดใช่ม้า ตกใจเลย ซึ่งอาจมีเสียงสวนกลับมาว่า ไม่เห็นจะน่าตกใจเลยหรืออะไร ขอให้หนักแน่นเข้าไว้
แล้วค่อยให้คนข้างตัวเราไปค่อยๆ เคลียร์กับผู้ใหญ่นอกรอบ ให้ค่อยปรับทีท่าในการเข้าหาลูก
คนข้างตัวใช้ให้หมดน่ะค่ะ พ่อแม่พี่น้องเราเอง ถ้าเป็นญาติเรา ญาติข้างสามี คุณสามีก็ต้องช่วยทำงาน
ส่วนแม่ก็ต้องคุยกับลูก เพื่อหาระยะและความแรงที่ลูกจะยอมให้ญาติเข้าหา อาจต้องมีซ้อมกันว่าอย่างไหนพอไหว
แล้วที่สำคัญอีกอย่าง ในช่วงแรก อาจต้องมีคนคอยเชื่อมประสาน ให้ลูกเห็นว่า คุณ....ก็เล่นสนุกนะ
ถ้าเล่นไม่ไหว ก็มีเรื่องรู้ใจอย่างอื่น เช่น มีขนม ผลไม้ที่ชอบ ทำของเล่นรุ่นเก่าได้ อย่างม้าก้านกล้วย ฯลฯ
หาจุดเด่นอะไรก็ได้ ที่ทำให้ลูกเราอยากจะเข้าใกล้ เข้าใกล้แล้วสบายใจน่ะค่ะ
ขอให้เราเอง อย่าตั้งธง กังวลว่า นั่นเป็นญาติเรานะ ลูกเราต้องไม่กลัว เพราะทีท่าเราจะกลายเป็นบังคับลูก
ถ้าสิ่งที่ลูกเรากลัว เป็นทีท่า หรือสิ่งที่ผู้ใหญ่ปรับเข้าหาเด็กได้ ก็ค่อยปรับกันไป
แต่ถ้าเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้ เช่น รูปร่างหน้าตา ก็คงต้องหาอะไรที่มาดึงดูด ให้เด็กเราสามารถมองผ่านสิ่งนั้นได้
อาจจะเป็นเล่นสนุก เล่านิทานเก่ง มีขนมอร่อย บางครั้งก็คงต้องล่อหลอกกันบ้างน่ะค่ะ
ต้องใช้เวลาแน่นอนค่ะ แล้วก็อย่ายัดเยียด บังคับ วันนี้ได้แค่ นั่งห่างกันหน่อย แต่ไม่วิ่งหนี ก็ถือว่าสำเร็จ
ค่อยเพิ่มความคุ้นเคยกันทีละนิด ละหน่อย
ใจนิ่งๆ เมตตาและเห็นใจเด็ก และอยากปรับเข้าหาจากผู้ใหญ่ นั่นแหละค่ะ ตัวแก้ที่ดีที่สุด
อีกครั้งค่ะ นี่เป็นเรื่องจากประสบการณ์ อาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกและอาจจะใช้ไม่ได้กับท่านอื่นนะคะ