ก่อนหน้านี้มีโอกาสดี(ต้องขอบคุณครูนกด้วยนะครับ)ได้เข้าค่าย. และอบรม กับ อ.หมอกิ่งแก้ว และครูพบ จนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในตัวตนของเรา
และนำความรู้. แนวคิด มาปรับใช้กับลูกสาว.ระยะแรก เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ทั้งตัวเราและลูก(รู้สึก ดีใจมากๆ)
แต่เมื่อสักสองอาทิตย์ที่ผ่านมา. กลับรู้สึกว่า ไม่มีอะไร"คืบหน้า" ทั้งที่เรา ทุ่มเทอย่างเต็มที่(รู้สึก ท้อแท้ สงสารลูก. อาจเพราะความคาดหวังที่เรา"อยาก"ให้เกิด. แต่มันไม่เห็นเป็นรูปธรรม). พอไปพบครูหน่องจับความรู้สึกเราได้. ถึงกับบ่อน้ำตาแตก. และชี้ให้เห็นอีกมุมหนึ่งของลูกที่พัฒนาขึ้น นอกเหนือจากความคาดหวังของเรา. ทำให้รู้สึกว่าทำไมเรายัง"ตกร่อง"อารมณ์. ความคิดเดิมๆ. แต่ทุกครั้งที่รู้สึกว่าลูกไม่คืบหน้า เนื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆ. ในใจคิดถึงคำพูดของ อ.กิ่งแก้ว เสมอว่า"ทุกเรื่อง. ทุกเหตุการณ์. ถ้าลองมองอีกด้าน(พลิกเหรียญ) แล้วจะเห็นโอกาส. หรือบทเรียนที่สอนเรา". และคำพูดที่ว่า "เล่นไปเถอะไม่ต้องคิดอะไร มันมีประโยชน์ในทุกๆการเล่น. มีประโยชน์กับลูกทั้งนั่น"
จนวันนี้(5 ธ.ค.) ตลอดทั้งวันก็เป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่งที่มีกิจกรรมการเล่น. ออกกำลังกายสำหรับ พ่อกับลูกสาว และมีแม่ของลูกด้วยในวันหยุด ตกตอนหัวค่ำขณะที่ผมกำลังพิมพ์คำถวายพระพร. ใน facebook อยู่นั้น (แม่กำลังอาบน้ำ) ลูกสาวไปลากเสื้อเชิ๊ตใส่ทำงานของพ่อมาตัวหนึ่ง
"อ้าว ไปลากเสื้อคุณพ่อมาทำไมล่ะลูก" ผมถาม
"หนูจะรีดเสื้อคุณพ่อ" โอ้วววววว. ผมเหวี่ยง ipad ทันที
"เอาเลยลูก. แต่ใช้อะไรรีดล่ะ" ด้วยความดีใจแอบตั้งคำถามชี้นำ. ลูกมองซ้ายมองขวาไปหยิบ กล้วยของเล่นอยู่ที่พื้น มาถูๆเสื้อ
"หนูรีดเสื้อๆๆๆ. คุณพ่อจับแขนเสื้อให้หน่อย"น้ำตาจะไหล รีบจัดแขนเสื้อแขนยาวช่วยกันรีด
หลังจากนั้นก็เล่นกันสักพัก. แม่ออกมาสมทบ. ลูกก็ไปลากเสื้อตัวอื่นๆมารีด(โชว์)อีก. แถมเอาขวดน้ำเกลือหยอดจมูก มาอีก"หนูจะฉีดสเปรย์"....
ครูพบบอกว่าการเล่นสมมุติแรกๆก็มาจากของใกล้ตัว กิจวัตร ประจำวันนั่นแหละ จากคำพูดที่ครูพบ และอ.กิ่งที่เคยนอนตกตะกอนอยู่ภายใน. พลุ่งพล่านออกมาอย่างต่อเนื่อง
ยอมรับว่าเคยท้อแท้. แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตอกย้ำความเชื่อมั่นใน"กระบวนการ"ที่เราทุ่มเททำอยู่อย่างแท้จริง
ขอบคุณทุกท่านที่กล่าวถึง. และขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน. และขอบคุณลูกสาวที่ทำให้พ่อกับแม่เข้าสู่กระบวนการนี้