ขอคำปรึกษาค่ะ
เมื่อ: จันทร์ 23 ธ.ค. 2013 2:19 pm
สวัสดีค่ะอาจารย์กิ่งแก้ว
ขอเล่าย้อนไปเมื่อสัก 5 ปี ที่แล้ว ลูกสาวซึ่งดูภายนอกปกติดี แต่เห็นว่าชอบพูดเจื้อยแจ้วคนเดียวได้ทั้งวัน
แต่เวลาใครมาทัก เพื่อนบ้านมาถาม จะไปไหน กินข้าวยัง เล่นอะไรคะ ฯลฯ จะทำหน้างงๆ เหมือนบอกไม่ถูก
แม่ก็คิดว่าสงสัยไม่มีเพื่อนเล่น แถวบ้านก็อัตคัดเด็ก พ่อกับแม่ก็พูดน้อย เลยส่งไปลูกไปโรงเรียนเข้าอนุบาล 1
ปรากฏว่าลูกเอาแต่ร้องๆๆ หรือไม่ก็เหม่อ ลุกเดินไปเดินมา ไม่สนใจกิจกรรมในห้อง มีที่ชอบคือห้องสมุด
ดูหนังสือได้ทั้งวัน โรงเรียนนั้นมีครูการศึกษาพิเศษอยู่แนะนำให้พาไปหาหมอ หมอคุยๆ กับลูกเสร็จ ก็แทงมาว่า
เป็น PDD เน้นประโยคที่ว่าพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ต่ำ จากนั้นที่บ้านก็เริ่มงมกันไป ใครแนะนำให้ไปทำอะไรก็ทำ
เริ่มจากฝึกในห้องไม่รู้ฝึกอะไร ครูไม่ให้เข้าไปดู แล้วก็ฝึก SI ที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อน รู้แต่ว่าทุกการฝึก ลูกร้องๆๆๆ
พอดีมีปัญหากับโรงเรียนเก่า เทอมสองก็ย้ายโรงเรียน ลูกก็ยังร้องๆๆๆ และเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกทวนคำพูด เริ่มเรียงของเล่น
และยึดติด ถ้ามีอะไรผิดไปจากที่คาดไว้ เช่น ทิ้งขยะพลาด ไม่ลงถัง ก็จะระเบิดเสียงร้อง น้ำตาท่วมห้องทันที
แม่มาพบฟลอร์ไทม์ในร้านหนังสือเล็กๆ ใกล้บ้าน เมื่อลูกขึ้น อ.2 เทอม 2 ก็ทดลองนำมาใช้กับลูก แล้วก็เริ่มหาซีดี
ของอาจารย์มาดู ซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม แล้วก็ไปเข้าอบรม จากนั้นก็ไปบอกโรงเรียนขอหยุดสัปดาห์ละ 2 วัน
ให้อยู่บ้านเล่นกับแม่กับฝึก SI จากนั้นก็ไปฝึกช่วงวันเสาร์ที่ศาลายา แต่จำไม่ได้ว่ามีเหตุอะไรซักอย่างที่ทำให้การฝึก
วันเสาร์ต้องหยุดไป แต่สรุปผลที่ได้เมื่อลูกจบ ขึ้น อ.3 คือ ลูกเลิกพูดทวนคำ เลิกเรียงของ คำพูดคำจามีชีวิตชีวาเป็น
ธรรมชาติขึ้น ร้องไห้น้อยลง บอกความรู้สึกตัวเองได้ เมื่อจบ อ.3 ลูกสามารถใช้เหตุผลได้ดี มีเพื่อนที่สนิท 1 คน และ
มีเพื่อนเล่นด้วยกันได้ 3-4 คน อ่านคล่องมาก ความจำดี การเรียนดีมาก ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ ดูเผินๆ ภายนอก
จะเป็นเด็กที่ดูดีมาก ทั้งคำพูดคำจา การให้เหตุผล
ทีนี้พอเห็นลูกดูดีขึ้นมาก แม่ก็หันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ(ที่บ้าน), โรงเรียนและการเรียน จนแทบไม่ได้
เล่นสมมติกันอีกเลย เหลือแต่การเล่นสนุก การคุยเจ๊าะแจ๊ะกันไปมา การสอบอารมณ์ การระดมความคิดเมื่อมีข้อขัดข้อง
ก็ยังทำอยู่ ช่วงจะขึ้น ป.1 ก็วิ่งรอกหาโรงเรียนเหมาะๆ ให้ลูก ซึ่งก็หายากเย็นเหลือเกิน ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์
มหาอุทกภัยเข้าพอดี โรงเรียนก็น้ำท่วม โรงงานก็ท่วม แม่พ่อก็เครียด ก็มีแต่เรื่องอื่นที่เราไปโฟกัสมากกว่าลูก
ย้ายโรงเรียนลูกเสร็จแล้ว ขึ้น ป.2 มีเวลาตั้งหลัก ตอนนี้ลูกติดการอ่านหนังสือมากๆ เข้าขั้นหนอนหนังสือ ช่วง ป.2
จึงมีเวลาสังเกตลูกมากขึ้น และพบว่ามีปัญหาตามมาถึงที่บ้าน เพราะปกติอยู่ที่บ้าน เขาจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย
ไม่ดื้อ ชอบเล่นสนุก ชอบเรื่องขำขัน และชอบอ่านหนังสือมาก แต่เวลาไปดูลูกที่โรงเรียน จะเห็นว่าเขาเข้ากับเพื่อนไม่ได้
จนในที่สุดก็ไม่มีเพื่อน เขาโดดเดี่ยว และน่าสงสารมาก สังเกตว่าในการเล่น เขาจะเดาอารมณ์เพื่อนไม่ออก แล้วก็ยังมี
เพื่อนที่ชอบแหย่ ชอบแกล้ง ชอบบงการชีวิต สั่งโน่นสั่งนี่ เขาจะโต้ตอบด้วยการส่งเสียงแหลมปรี๊ด (อ้อ ลืมบอกไปค่ะ
เวลาปกติลูกจะพูดในโทนเสียงสูงและค่อนข้างดังกว่าเด็กอื่น ถ้าเวลาเสียใจ หรือโกรธนี่ จะสูงปรี๊ด และดังมาก) เช่น
เฮ้ย! มาแตะทำไม มาสั่งทำไม อย่ามายุ่ง ฯลฯ แล้วก็จะฟ้องเพื่อนข้างๆ ฟ้องครู และถ้าถึงสุดก็จะร้องไห้ ร้องไห้ของเค้า
มีตั้งแต่ส่งเสียง แง้! จนถึงร้องไห้จริงจัง ซึ่งก็สร้างความเอือมระอาให้กับเพื่อนและครู ซึ่งผู้ใหญ่ก็จะคาดหวังว่าป.2 ต้อง
ไม่ร้องแล้ว เวลากลับมาบ้านก็จะคับข้องใจ แม่ก็จะนั่งคุยกับเขา ระดมสมองหาทางออกของแต่ละเรื่องกัน มีบางครั้งเขา
คิดหาทางออกเอง เช่น กับเพื่อนที่ชอบมาสั่งโน่นสั่งนี่ (โจทก์ใหญ่ของเขา) เขาคิดเองว่า ไปบอกแม่ของเพื่อนคนนั้นดีกว่า
มารู้ตัวก็ตอนที่แม่ของเด็กคนนั้นมาเล่นงานเราว่าลูกเราไปบอกว่าลูกเขาแย่มาก แล้วก็บานปลายกลายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่
จนครูมาสั่งให้ไปนั่งคู่กันแล้วรักกันซะ ซึ่งเด็กของเราก็ทุกข์มาก ในที่สุดก็ไปจบด้วยการขลุกที่ห้องสมุด ตอนนั้นก็คิดว่า
โรงเรียนคงไม่ใช่ที่ๆ เหมาะสำหรับลูกเราแล้วล่ะ ก็พาลูกออกมาทำโฮมสคูล แล้วก็หยิบตำราของอาจารย์มาปัดฝุ่น
หาแผ่นซีดีมาดู ของเก่าชำรุดแล้วก็เลยสั่งใหม่ (มีคลิปเยอะกว่าเดิมมาก) เห็น ตัวอย่างคลิปอันนึง เป็นเด็ก 7 ขวบ ใช่ไหมคะ
ที่ใส่เสื้อสีชมพู เข้าที่ไหนก็วงแตกที่นั่น แล้วก็อ่านเจอกระทู้ของคุณแม่ที่โพสต์มาถามเรื่องลูกวัยรุ่นเป็นแอสเพอร์เกอร์
นั่นแหละ ทั้งสองอันนั้นก็ใช่ลูกเราเลย (แต่ลูกเราเสียงแหลมปรี๊ดดดกว่า)
ยาวมาก เดี๋ยวมาต่อค่ะ
ขอเล่าย้อนไปเมื่อสัก 5 ปี ที่แล้ว ลูกสาวซึ่งดูภายนอกปกติดี แต่เห็นว่าชอบพูดเจื้อยแจ้วคนเดียวได้ทั้งวัน
แต่เวลาใครมาทัก เพื่อนบ้านมาถาม จะไปไหน กินข้าวยัง เล่นอะไรคะ ฯลฯ จะทำหน้างงๆ เหมือนบอกไม่ถูก
แม่ก็คิดว่าสงสัยไม่มีเพื่อนเล่น แถวบ้านก็อัตคัดเด็ก พ่อกับแม่ก็พูดน้อย เลยส่งไปลูกไปโรงเรียนเข้าอนุบาล 1
ปรากฏว่าลูกเอาแต่ร้องๆๆ หรือไม่ก็เหม่อ ลุกเดินไปเดินมา ไม่สนใจกิจกรรมในห้อง มีที่ชอบคือห้องสมุด
ดูหนังสือได้ทั้งวัน โรงเรียนนั้นมีครูการศึกษาพิเศษอยู่แนะนำให้พาไปหาหมอ หมอคุยๆ กับลูกเสร็จ ก็แทงมาว่า
เป็น PDD เน้นประโยคที่ว่าพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ต่ำ จากนั้นที่บ้านก็เริ่มงมกันไป ใครแนะนำให้ไปทำอะไรก็ทำ
เริ่มจากฝึกในห้องไม่รู้ฝึกอะไร ครูไม่ให้เข้าไปดู แล้วก็ฝึก SI ที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อน รู้แต่ว่าทุกการฝึก ลูกร้องๆๆๆ
พอดีมีปัญหากับโรงเรียนเก่า เทอมสองก็ย้ายโรงเรียน ลูกก็ยังร้องๆๆๆ และเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกทวนคำพูด เริ่มเรียงของเล่น
และยึดติด ถ้ามีอะไรผิดไปจากที่คาดไว้ เช่น ทิ้งขยะพลาด ไม่ลงถัง ก็จะระเบิดเสียงร้อง น้ำตาท่วมห้องทันที
แม่มาพบฟลอร์ไทม์ในร้านหนังสือเล็กๆ ใกล้บ้าน เมื่อลูกขึ้น อ.2 เทอม 2 ก็ทดลองนำมาใช้กับลูก แล้วก็เริ่มหาซีดี
ของอาจารย์มาดู ซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติม แล้วก็ไปเข้าอบรม จากนั้นก็ไปบอกโรงเรียนขอหยุดสัปดาห์ละ 2 วัน
ให้อยู่บ้านเล่นกับแม่กับฝึก SI จากนั้นก็ไปฝึกช่วงวันเสาร์ที่ศาลายา แต่จำไม่ได้ว่ามีเหตุอะไรซักอย่างที่ทำให้การฝึก
วันเสาร์ต้องหยุดไป แต่สรุปผลที่ได้เมื่อลูกจบ ขึ้น อ.3 คือ ลูกเลิกพูดทวนคำ เลิกเรียงของ คำพูดคำจามีชีวิตชีวาเป็น
ธรรมชาติขึ้น ร้องไห้น้อยลง บอกความรู้สึกตัวเองได้ เมื่อจบ อ.3 ลูกสามารถใช้เหตุผลได้ดี มีเพื่อนที่สนิท 1 คน และ
มีเพื่อนเล่นด้วยกันได้ 3-4 คน อ่านคล่องมาก ความจำดี การเรียนดีมาก ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ ดูเผินๆ ภายนอก
จะเป็นเด็กที่ดูดีมาก ทั้งคำพูดคำจา การให้เหตุผล
ทีนี้พอเห็นลูกดูดีขึ้นมาก แม่ก็หันไปให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ(ที่บ้าน), โรงเรียนและการเรียน จนแทบไม่ได้
เล่นสมมติกันอีกเลย เหลือแต่การเล่นสนุก การคุยเจ๊าะแจ๊ะกันไปมา การสอบอารมณ์ การระดมความคิดเมื่อมีข้อขัดข้อง
ก็ยังทำอยู่ ช่วงจะขึ้น ป.1 ก็วิ่งรอกหาโรงเรียนเหมาะๆ ให้ลูก ซึ่งก็หายากเย็นเหลือเกิน ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์
มหาอุทกภัยเข้าพอดี โรงเรียนก็น้ำท่วม โรงงานก็ท่วม แม่พ่อก็เครียด ก็มีแต่เรื่องอื่นที่เราไปโฟกัสมากกว่าลูก
ย้ายโรงเรียนลูกเสร็จแล้ว ขึ้น ป.2 มีเวลาตั้งหลัก ตอนนี้ลูกติดการอ่านหนังสือมากๆ เข้าขั้นหนอนหนังสือ ช่วง ป.2
จึงมีเวลาสังเกตลูกมากขึ้น และพบว่ามีปัญหาตามมาถึงที่บ้าน เพราะปกติอยู่ที่บ้าน เขาจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย
ไม่ดื้อ ชอบเล่นสนุก ชอบเรื่องขำขัน และชอบอ่านหนังสือมาก แต่เวลาไปดูลูกที่โรงเรียน จะเห็นว่าเขาเข้ากับเพื่อนไม่ได้
จนในที่สุดก็ไม่มีเพื่อน เขาโดดเดี่ยว และน่าสงสารมาก สังเกตว่าในการเล่น เขาจะเดาอารมณ์เพื่อนไม่ออก แล้วก็ยังมี
เพื่อนที่ชอบแหย่ ชอบแกล้ง ชอบบงการชีวิต สั่งโน่นสั่งนี่ เขาจะโต้ตอบด้วยการส่งเสียงแหลมปรี๊ด (อ้อ ลืมบอกไปค่ะ
เวลาปกติลูกจะพูดในโทนเสียงสูงและค่อนข้างดังกว่าเด็กอื่น ถ้าเวลาเสียใจ หรือโกรธนี่ จะสูงปรี๊ด และดังมาก) เช่น
เฮ้ย! มาแตะทำไม มาสั่งทำไม อย่ามายุ่ง ฯลฯ แล้วก็จะฟ้องเพื่อนข้างๆ ฟ้องครู และถ้าถึงสุดก็จะร้องไห้ ร้องไห้ของเค้า
มีตั้งแต่ส่งเสียง แง้! จนถึงร้องไห้จริงจัง ซึ่งก็สร้างความเอือมระอาให้กับเพื่อนและครู ซึ่งผู้ใหญ่ก็จะคาดหวังว่าป.2 ต้อง
ไม่ร้องแล้ว เวลากลับมาบ้านก็จะคับข้องใจ แม่ก็จะนั่งคุยกับเขา ระดมสมองหาทางออกของแต่ละเรื่องกัน มีบางครั้งเขา
คิดหาทางออกเอง เช่น กับเพื่อนที่ชอบมาสั่งโน่นสั่งนี่ (โจทก์ใหญ่ของเขา) เขาคิดเองว่า ไปบอกแม่ของเพื่อนคนนั้นดีกว่า
มารู้ตัวก็ตอนที่แม่ของเด็กคนนั้นมาเล่นงานเราว่าลูกเราไปบอกว่าลูกเขาแย่มาก แล้วก็บานปลายกลายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่
จนครูมาสั่งให้ไปนั่งคู่กันแล้วรักกันซะ ซึ่งเด็กของเราก็ทุกข์มาก ในที่สุดก็ไปจบด้วยการขลุกที่ห้องสมุด ตอนนั้นก็คิดว่า
โรงเรียนคงไม่ใช่ที่ๆ เหมาะสำหรับลูกเราแล้วล่ะ ก็พาลูกออกมาทำโฮมสคูล แล้วก็หยิบตำราของอาจารย์มาปัดฝุ่น
หาแผ่นซีดีมาดู ของเก่าชำรุดแล้วก็เลยสั่งใหม่ (มีคลิปเยอะกว่าเดิมมาก) เห็น ตัวอย่างคลิปอันนึง เป็นเด็ก 7 ขวบ ใช่ไหมคะ
ที่ใส่เสื้อสีชมพู เข้าที่ไหนก็วงแตกที่นั่น แล้วก็อ่านเจอกระทู้ของคุณแม่ที่โพสต์มาถามเรื่องลูกวัยรุ่นเป็นแอสเพอร์เกอร์
นั่นแหละ ทั้งสองอันนั้นก็ใช่ลูกเราเลย (แต่ลูกเราเสียงแหลมปรี๊ดดดกว่า)
ยาวมาก เดี๋ยวมาต่อค่ะ