กระทู้นี้... อยากแบ่งปัน
เมื่อ: พฤหัสฯ. 07 มิ.ย. 2012 9:16 am
สวัสดีค่ะ คุณหมอกิ่งแก้ว คุณหมอแก้วตา ครูพบ ครูแอน ครูท่านอื่นๆ และกัลยาณมิตรทุกท่าน
วันนี้เป็นวันแรกที่อยากแบ่งปันที่นี่อีกครั้ง...จริงๆ คงเพราะอะไรหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...
ในความรู้สึก ที่ตัวเองไม่สามารถจัดการกับมันได้เป็นเวลาหลายเดือน เป็นปมติดค้างในใจที่แม้จะ
พยายามบอกกับตัวเองว่า...ไม่เป็นไร มันจะผ่านไป ขอเพียงใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะผ่านไป...
แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้ผ่านไปอย่างที่ใจหวัง มันยังคงอยู่ แต่ติดแน่นอยู่ในใจลึกๆ และพร้อมที่จะ
ระเบิดออกมาโดยง่ายแม้เพียงแค่มีอะไรมาสะกิด ถึงวันนี้นึกย้อนกลับไป คำตอบที่ได้มันชัดเจนขึ้น
แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันคือ "สิ่งนั้น" มานานแล้ว แต่วันนี้คำตอบนั้นมันได้รับการยอมรับแบบหมดหัวใจว่าใจเรา
รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ยอมรับก่อนที่จะเริ่มคิดว่าจะทำอะไรกับมันต่อ แต่ก่อนหน้านั้นคือการรับรู้ว่าใจ
รู้สึกแบบนั้นโดยลืมยอมรับตัวเอง แล้วก็ละเลยโดยเฉไฉไปหาทางออก ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่
ทางออกที่แท้จริงเลย มันคือการพยายามหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ...
ต้องขอบคุณครูพบ ครูแอน กระบวนกรผู้คิดค้นกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้ใจคลี่คลาย แม้มิได้คาดหวัง
...เพราะนี่คือค่ายอยู่กับลูกให้สนุก ยังคิดอยู่ว่าจริงๆ เราน่าจะเหมาะกับค่ายเยียวยาใจซะมากกว่า
แต่ช่วงเวลาที่ตัดสินใจไปร่วมค่ายนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมือนจะจัดการทุกสิ่งอย่างในเรื่องการเล่นกับลูก
ได้ดีที่สุด แต่กลับพบว่าใจเราว้าวุ่นที่สุด ที่บอกว่าเหมือนจะจัดการเรื่องการเล่นกับลูกได้ดี คงเป็นเพราะ
เริ่มจับเทคนิควิธีการเล่นสมมติกับลูกได้กระมังที่คิดว่าดี เหมือนเราเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าต้องเล่น
แบบนี้ เพื่อพัฒนาสิ่งนี้ และก็เป็นช่วงเวลาที่อยากเล่นกับลูกมากที่สุด โหยหาเวลาที่จะอยู่กับลูกให้
มากที่สุด โดยบอกกับตัวเองว่านี่คือเวลาทองที่จะพัฒนาลูกให้ไปให้ไกลได้มากที่สุด วันทุกวันจะเล่น
และนั่งบันทึกว่าได้อะไร เล่นอะไร เห็นความก้าวหน้าไหม เห็นนะ แต่ทำไมใจมันยังว้าวุ่น ทำไมไม่
ผ่อนคลาย หาคำตอบไม่ได้ชัดเจน แม้จะมีเสียงกระซิบเบาๆ บอกว่าตัวเองคงคาดหวังมากเกินไป
ก็มุ่งพยายามทำใจให้ผ่อนคลาย แต่นั่นก็เป็นการพยายามทำให้ใจผ่อนคลาย มารู้ตอนนี้ว่านั่นคือ
การอยู่กับ "ฐานคิด" ไปซะทั้งหมด เราจึงแล้งๆ แห้งๆ เหมือนไม่มีหัวใจ...
ต้องขอบคุณค่ายอีกครั้งที่ทำให้รู้และ "เข้าใจ" อย่างจริงๆ ว่าการใส่ "หัวใจ" เข้าไปในทุกๆ อย่าง
ทุกๆ จังหวะของชีวิตมันทำให้โลกสวย...สวยขึ้นจริงๆ อย่างที่ไม่คิดว่าจะสวยได้ขนาดนี้
กลับจากค่าย ดิฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย ซึ่งคงต้องอาศัยเวลาในการย่อย ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ
เพื่อให้ตกผลึกออกมาบทเรียนและนำไปใช้จริงกับตัวเอง กับลูก กับสามี และกับคนรอบข้าง...
แต่วันนี้ดิฉันได้เริ่ม "การฟังอย่างแท้จริง" แล้ว ดิฉันได้เข้าใจจริงๆ ว่าการฟังอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร
ได้รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการมีใครสักคนที่ "ฟัง" เราอย่างแท้จริง อยู่กับเราอย่าง 100%
แม้จะเป็นการฟังที่ฟังอย่างเดียว ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ มีแต่ความรู้สึกที่อยู่กับเรื่องราวของเราจริงๆ
มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ดีจนรู้สึกว่าเราจะสามารถคลี่คลายทุกอย่างได้เมื่อได้อยู่กับคนแบบนั้น
โดยที่เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำหรือเสนอทางออกใดใดให้กับเรา ลูกเราก็คงเป็นเช่นกัน...
แปลกนะคะ ทั้งๆ ที่คำคำนี้ไม่ได้เป็นคำที่แปลกใหม่อะไรเลย ทั้งชีวิตที่ผ่านมาได้ยินได้ฟังได้รู้
เรื่องราวเกี่ยวกับคำนี้มาก็มาก และก็หลงคิดว่าตัวเองเข้าใจ ตัวเองทำได้ แต่ผ่านค่ายนี้ดิฉันคิดว่า
ดิฉันได้อะไรมากกว่านั้น ที่ผ่านมาทั้งหมดดิฉันยังห่างไกลคำว่า "การฟังอย่างแท้จริง" มากนัก
และดิฉันก็ตั้งใจไว้ว่าตัวเองคงต้องเรียนรู้พัฒนาสิ่งนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ดิฉันค้นพบอีกอย่างระหว่างอยู่ในค่ายว่า แท้จริงแล้วดิฉันมีความเข้าใจในหลักการและเทคนิค
FT พอสมควรประมาณใช้งานได้ แต่ดิฉันขาด "ใจ" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการทำกิจกรรมต่างๆ
2-3 วันที่ผ่านมาจึงเป็นการทดลองเริ่มทำอะไรด้วย "ใจ" จริงๆ ซึ่งดิฉันก็พบว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ดิฉันพบว่าตัวเองนั่งอยู่ในหัวใจของลูกได้มากขึ้น รู้สึกถึงความรู้สึกของลูกได้มากขึ้น ยอมรับความ
รู้สึกของลูกได้มากขึ้น และเข้าใจลูกมากขึ้น ลูกจึงดู "ผ่อนคลาย" กับดิฉันมากขึ้น ลูกดูใกล้ชิด
บอกเล่าเรื่องราวมากขึ้น ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ "คาดหวัง" อีกแล้วว่าเย็นนี้ลูกจะเล่าอะไรให้ฟัง
ดิฉันเพียงใช้ความรู้สึกเหนี่ยวนำความรู้สึกโดยการใช้กระบวนการที่ครูพบ ครูแอนจัดให้ในค่าย
คือการนั่งล้อมวงกินขนมกับลูก แล้วก็บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองที่พบเจอระหว่างวัน ความรู้สึก
ของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ลูกๆ ก็เริ่มบอกเล่ากันออกมาบ้าง คนโน้นพูดถึงเรื่องโน้น คนนี้พูดถึง
เรื่องนั้น อีกคนก็พูดเรื่องที่ตัวเองสนใจอยู่ แต่ทุกคนดูผ่อนคลาย คุยกันขำๆ ไม่มีการบอกกล่าว
ตัดสิน หรือเซ้าซี้ใดใดเลย เพียงแค่เป็นการถามเพราะอยากรู้จริงๆ ลูกจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้...ไม่ว่ากัน
บรรยากาศในบ้านของดิฉันจึงดูสบายๆ แต่ดิฉันก็ยังคงต้องค้นหาสมดุลย์ของตัวเองต่อไป
เพราะดิฉันยังมีงานต้องทำอยู่ การเล่นสมมติของลูกยังก้าวหน้าไปไม่ถึงจุดที่ดิฉันหวังไว้ แต่ดิฉัน
เลือกที่จะพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างเราแม่ลูกให้แน่นแฟ้นขึ้นกว่านี้ก่อน เพราะดิฉันเชื่อว่าเมื่อถึง
เวลานั้นดิฉันคงทำงานได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน เขียนมาซะยาว คงประมาณว่าไม่ได้เขียนมานาน
แต่รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ ค่ะ ขอบคุณคุณหมอ คุณครูและเพื่อนๆ อีกครั้งจริงๆ ค่ะ
แม่กุ้งผู้พบทาง
วันนี้เป็นวันแรกที่อยากแบ่งปันที่นี่อีกครั้ง...จริงๆ คงเพราะอะไรหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต...
ในความรู้สึก ที่ตัวเองไม่สามารถจัดการกับมันได้เป็นเวลาหลายเดือน เป็นปมติดค้างในใจที่แม้จะ
พยายามบอกกับตัวเองว่า...ไม่เป็นไร มันจะผ่านไป ขอเพียงใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะผ่านไป...
แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ได้ผ่านไปอย่างที่ใจหวัง มันยังคงอยู่ แต่ติดแน่นอยู่ในใจลึกๆ และพร้อมที่จะ
ระเบิดออกมาโดยง่ายแม้เพียงแค่มีอะไรมาสะกิด ถึงวันนี้นึกย้อนกลับไป คำตอบที่ได้มันชัดเจนขึ้น
แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันคือ "สิ่งนั้น" มานานแล้ว แต่วันนี้คำตอบนั้นมันได้รับการยอมรับแบบหมดหัวใจว่าใจเรา
รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ยอมรับก่อนที่จะเริ่มคิดว่าจะทำอะไรกับมันต่อ แต่ก่อนหน้านั้นคือการรับรู้ว่าใจ
รู้สึกแบบนั้นโดยลืมยอมรับตัวเอง แล้วก็ละเลยโดยเฉไฉไปหาทางออก ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ใช่
ทางออกที่แท้จริงเลย มันคือการพยายามหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ...
ต้องขอบคุณครูพบ ครูแอน กระบวนกรผู้คิดค้นกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้ใจคลี่คลาย แม้มิได้คาดหวัง
...เพราะนี่คือค่ายอยู่กับลูกให้สนุก ยังคิดอยู่ว่าจริงๆ เราน่าจะเหมาะกับค่ายเยียวยาใจซะมากกว่า
แต่ช่วงเวลาที่ตัดสินใจไปร่วมค่ายนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมือนจะจัดการทุกสิ่งอย่างในเรื่องการเล่นกับลูก
ได้ดีที่สุด แต่กลับพบว่าใจเราว้าวุ่นที่สุด ที่บอกว่าเหมือนจะจัดการเรื่องการเล่นกับลูกได้ดี คงเป็นเพราะ
เริ่มจับเทคนิควิธีการเล่นสมมติกับลูกได้กระมังที่คิดว่าดี เหมือนเราเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าต้องเล่น
แบบนี้ เพื่อพัฒนาสิ่งนี้ และก็เป็นช่วงเวลาที่อยากเล่นกับลูกมากที่สุด โหยหาเวลาที่จะอยู่กับลูกให้
มากที่สุด โดยบอกกับตัวเองว่านี่คือเวลาทองที่จะพัฒนาลูกให้ไปให้ไกลได้มากที่สุด วันทุกวันจะเล่น
และนั่งบันทึกว่าได้อะไร เล่นอะไร เห็นความก้าวหน้าไหม เห็นนะ แต่ทำไมใจมันยังว้าวุ่น ทำไมไม่
ผ่อนคลาย หาคำตอบไม่ได้ชัดเจน แม้จะมีเสียงกระซิบเบาๆ บอกว่าตัวเองคงคาดหวังมากเกินไป
ก็มุ่งพยายามทำใจให้ผ่อนคลาย แต่นั่นก็เป็นการพยายามทำให้ใจผ่อนคลาย มารู้ตอนนี้ว่านั่นคือ
การอยู่กับ "ฐานคิด" ไปซะทั้งหมด เราจึงแล้งๆ แห้งๆ เหมือนไม่มีหัวใจ...
ต้องขอบคุณค่ายอีกครั้งที่ทำให้รู้และ "เข้าใจ" อย่างจริงๆ ว่าการใส่ "หัวใจ" เข้าไปในทุกๆ อย่าง
ทุกๆ จังหวะของชีวิตมันทำให้โลกสวย...สวยขึ้นจริงๆ อย่างที่ไม่คิดว่าจะสวยได้ขนาดนี้
กลับจากค่าย ดิฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย ซึ่งคงต้องอาศัยเวลาในการย่อย ทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ
เพื่อให้ตกผลึกออกมาบทเรียนและนำไปใช้จริงกับตัวเอง กับลูก กับสามี และกับคนรอบข้าง...
แต่วันนี้ดิฉันได้เริ่ม "การฟังอย่างแท้จริง" แล้ว ดิฉันได้เข้าใจจริงๆ ว่าการฟังอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร
ได้รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการมีใครสักคนที่ "ฟัง" เราอย่างแท้จริง อยู่กับเราอย่าง 100%
แม้จะเป็นการฟังที่ฟังอย่างเดียว ไม่มีคำถาม ไม่มีคำตอบ มีแต่ความรู้สึกที่อยู่กับเรื่องราวของเราจริงๆ
มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ดีจนรู้สึกว่าเราจะสามารถคลี่คลายทุกอย่างได้เมื่อได้อยู่กับคนแบบนั้น
โดยที่เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องแนะนำหรือเสนอทางออกใดใดให้กับเรา ลูกเราก็คงเป็นเช่นกัน...
แปลกนะคะ ทั้งๆ ที่คำคำนี้ไม่ได้เป็นคำที่แปลกใหม่อะไรเลย ทั้งชีวิตที่ผ่านมาได้ยินได้ฟังได้รู้
เรื่องราวเกี่ยวกับคำนี้มาก็มาก และก็หลงคิดว่าตัวเองเข้าใจ ตัวเองทำได้ แต่ผ่านค่ายนี้ดิฉันคิดว่า
ดิฉันได้อะไรมากกว่านั้น ที่ผ่านมาทั้งหมดดิฉันยังห่างไกลคำว่า "การฟังอย่างแท้จริง" มากนัก
และดิฉันก็ตั้งใจไว้ว่าตัวเองคงต้องเรียนรู้พัฒนาสิ่งนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ดิฉันค้นพบอีกอย่างระหว่างอยู่ในค่ายว่า แท้จริงแล้วดิฉันมีความเข้าใจในหลักการและเทคนิค
FT พอสมควรประมาณใช้งานได้ แต่ดิฉันขาด "ใจ" ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการทำกิจกรรมต่างๆ
2-3 วันที่ผ่านมาจึงเป็นการทดลองเริ่มทำอะไรด้วย "ใจ" จริงๆ ซึ่งดิฉันก็พบว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ดิฉันพบว่าตัวเองนั่งอยู่ในหัวใจของลูกได้มากขึ้น รู้สึกถึงความรู้สึกของลูกได้มากขึ้น ยอมรับความ
รู้สึกของลูกได้มากขึ้น และเข้าใจลูกมากขึ้น ลูกจึงดู "ผ่อนคลาย" กับดิฉันมากขึ้น ลูกดูใกล้ชิด
บอกเล่าเรื่องราวมากขึ้น ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ "คาดหวัง" อีกแล้วว่าเย็นนี้ลูกจะเล่าอะไรให้ฟัง
ดิฉันเพียงใช้ความรู้สึกเหนี่ยวนำความรู้สึกโดยการใช้กระบวนการที่ครูพบ ครูแอนจัดให้ในค่าย
คือการนั่งล้อมวงกินขนมกับลูก แล้วก็บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองที่พบเจอระหว่างวัน ความรู้สึก
ของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ลูกๆ ก็เริ่มบอกเล่ากันออกมาบ้าง คนโน้นพูดถึงเรื่องโน้น คนนี้พูดถึง
เรื่องนั้น อีกคนก็พูดเรื่องที่ตัวเองสนใจอยู่ แต่ทุกคนดูผ่อนคลาย คุยกันขำๆ ไม่มีการบอกกล่าว
ตัดสิน หรือเซ้าซี้ใดใดเลย เพียงแค่เป็นการถามเพราะอยากรู้จริงๆ ลูกจะตอบหรือไม่ตอบก็ได้...ไม่ว่ากัน
บรรยากาศในบ้านของดิฉันจึงดูสบายๆ แต่ดิฉันก็ยังคงต้องค้นหาสมดุลย์ของตัวเองต่อไป
เพราะดิฉันยังมีงานต้องทำอยู่ การเล่นสมมติของลูกยังก้าวหน้าไปไม่ถึงจุดที่ดิฉันหวังไว้ แต่ดิฉัน
เลือกที่จะพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างเราแม่ลูกให้แน่นแฟ้นขึ้นกว่านี้ก่อน เพราะดิฉันเชื่อว่าเมื่อถึง
เวลานั้นดิฉันคงทำงานได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน เขียนมาซะยาว คงประมาณว่าไม่ได้เขียนมานาน
แต่รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ ค่ะ ขอบคุณคุณหมอ คุณครูและเพื่อนๆ อีกครั้งจริงๆ ค่ะ
แม่กุ้งผู้พบทาง