ช่วงเวลานี้ของคุณแม่ ดิฉันก็เคยเป็นนะคะ ถึงตอนนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง (แต่ดีขึ้น แหะ แหะ แหะ)
คือกังวลไปหมด กลัวไปทุกอย่าง และบางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่าเรากังวล แต่สิ่งที่แสดง
ออกในคือความกังวลที่คนที่เดินผ่านมาแล้วมองออก
ความกังวลก็เป็นสิ่งดีค่ะถ้าเรามองออกและรู้วิธีจัดการ แต่...มันยาก...ซะจริงๆ ค่ะ
สิ่งที่คุณหมอและคุณแม่รุ่นพี่ทั้งหลายพยายามแนะนำเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆ ค่ะ
อยากให้คุณแม่ลองกลับไปไล่อ่านทบทวนอีกหลายๆ ครั้ง เพื่อหาความหมายที่ทุกๆ ท่าน
พยายามบอกกล่าว หาให้เจอว่ามันคืออะไร เพราะมีอยู่ในทุกๆ คำตอบอยู่แล้ว
การรู้ว่าถ้าเกิดเป็นอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ เกิดอย่างนั้นต้องทำอย่างนั้น หรือเกิดอย่างโน้นต้องทำอย่างโน้น
นั้นก็ไม่ใช่การตระหนักรู้อย่างแท้จริง หากไม่ได้ลงมือทำโดยผ่านการคิด เมื่อได้ลองปรับเปลี่ยนวิธีมอง
วิธีคิดแล้วลองทำดู เมื่อประเมินผล คุณแม่อาจจะพบเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในใจ ในความรู้สึก
นั่นเองแหละที่เป็นทางเดินที่อาจเหมาะกับคุณแม่และลูกก็ได้ เส้นทางของแต่ละบ้านแต่ละคน
ไม่เหมือนกันค่ะ ต้องนำเอาแก่นแท้หรือที่เรียกว่าหลักการไปปรับเข้ากับวิธีการที่คุณแม่ถนัด
เพื่อสร้างเทคนิควิธีของคุณแม่เอง ไม่รู้ว่าดิฉันทำให้คุณแม่สับสนหรือเปล่านะคะ 555
แต่อยากบอกกล่าวไว้ค่ะว่า หากเรายังหลงติดอยู่ในความกังวลนานๆ เราจะเสียเวลาอันมีค่า
ของลูกไปค่ะ เพียงตั้งหน้าตั้งตาเสริมฐานให้แข็งแรงให้ตัวเองและลูกให้ดี และไม่ว่าในระหว่างทาง
แม่จะเหนื่อยหรือลูกจะเหนื่อย จะล้า จะท้อ หรือจะอะไรก็แล้วแต่ เพียงให้แม่และลูกมีกันและกัน
เพียงให้แม่เป็นหลักที่ลูกจะพึ่งพิงได้ ไม่ว่าลูกจะหวาดกลัวอะไรแค่ไหน ขอเพียงแค่ให้แม่คนนี้ได้กอด
ลูกให้แน่นๆ ไม่ว่าลูกจะเหนื่อยแค่ไหน ขอเพียงแม่คนนี้ก็ไม่ท้อที่จะเหนื่อย ที่จะกลัว ที่จะรักลูกให้มาก
อย่างที่จะสามารถรักใครได้ ขอเพียงแม่และลูกเดินไปด้วยกันในทุกๆ เส้นทางค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ